แหล่งรวมความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน ที่คุณสามารถอ่านได้ฟรี!
Home » การอบรมดับเพลิงขั้นต้นสำหรับโรงงานเหมาะกับโรงงานประเภทใดบ้าง

การอบรมดับเพลิงขั้นต้นสำหรับโรงงานเหมาะกับโรงงานประเภทใดบ้าง

by Kristina Perkins
339 views
อบรมดับเพลิงขั้นต้น เหมาะกับโรงงานประเภทอะไรบ้าง

หากพูดถึงเพลิงไหม้ เรามักจะพบว่าสาเหตุหลักๆ มักจะมาจากความประมาทของมนุษย์ และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การอบรมดับเพลิงขั้นต้นจะทำให้เราได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกัน และระงับอัคคีภัยในสถานประกอบการ การซึ่งทำให้พนักงานทุกคนสามารถตอบโต้เหตุฉุกเฉินเพลิงไหม้ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

การเกิดเพลิงไหม้

ก่อนที่จะไปเรียนรู้เรื่องของการดับเพลิงขั้นต้น เรามักจะต้องมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการเกิดเพลิงไหม้ หรือที่เรามักจะพบกันอยู่บ่อยครั้งเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การสันดาปหรือการเผาไหม้

การสันดาป คือ ปฏิกิริยาของสารเคมีที่เกิดการรวมตัวกันไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวของ เชื้อเพลิง ความร้อน และออกซิเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งทางวิทยาศาสตร์จนทำให้ไฟลุกติดขึ้นมาก่อนที่จะเกิดสามอย่างนี้มารวมตัวกันเราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ทฤษฎีสามเหลี่ยมของการลุกเกิดไฟ

โดยมีองค์ประกอบหลักๆอยู่สามอย่างคือ

  1. เชื้อเพลิง
  2. ความร้อน
  3. อากาศหรือออกซิเจน

3 อย่างนี้ เมื่ออยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม จะสามารถทำให้เกิดการลุกติดไฟได้ เช่น เชื้อเพลิงประเภทต่างๆ และอุณหภูมิความร้อนที่ถึงจุดที่เหมาะสม บวกกับบริเวณเหล่านั้นมีอากาศหรือออกซิเจน ก็ทำให้ฝ่ายสามารถติดไฟได้ทันที

โดยหลักๆ เราจะแบ่งเพลิงออกเป็นประเภทต่างๆได้ โดยมีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องหลักๆ อยู่สองอย่าง คือ

  • มาตรฐานตามกฏหมายไทยจะแบ่งเพลิงออกเป็น 4 ประเภท
  • มาตรฐานของ NFPA จะแบ่งชนิดของเพลิงออกเป็น 5 ประเภท

การเกิดเพลิงไหม้

ประเภทของเพลิงไหม้

เรามีความจำเป็นต้องแยกประเภทของเพลิงออก เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและใช้วิธีการหรืออุปกรณ์ในการเข้าดับไฟแต่ละประเภท

ในต่างประเทศจะแบ่งเพื่อนออกเป็นได้หลักๆ 5 ประเภท

  1. ประเภทเอ (Class A) : เพลิงไหม้ ของแข็งที่เป็นสารอินทรีย์ (Organic solids) เช่น กระดาษ ไม้ฯลฯ
  2. ประเภทบี (Class B) : เพลิงไหม้ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids) และของแข็งและถูกทำให้เป็นของเหลวได้ (Liquifiable solids)
  3. ประเภทซี (Class C) : เพลิงไหม้ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ (Flammable gases)
  4. ประเภทดี (Class D) : เพลิงไหม้โลหะ (Metals)
  5. ประเภทเค (Class k) : เพลิงไหม้ไขมันและน้ำมันใช้ในการปรุงอาหาร (Cooking fat and oil)

ในกฎหมายของประเทศไทยจะเแบ่งออกเพียง 4 ประเภทคือ

  1. ประเภทเอ (Class A) : เพลิงไหม้ ของแข็งที่เป็นสารอินทรีย์ (Organic solids) เช่น กระดาษ ไม้ฯลฯ
  2. ประเภทบี(Class B) : เพลิงไหม้ของเหลวไวไฟ (Flammable liquids) และของแข็งและถูกทำให้เป็นของเหลวได้(Liquifiable solids)
  3. ประเภทซี (Class C) : เพลิงไหม้ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ (Flammable gases)
  4. ประเภทดี (Class D) : เพลิงไหม้โลหะ (Metals)

การกำจัดต้นเหตุเชื้อเพลิง

วิธีการดับเพลิงแบ่งได้ดังนี้

  1. การกำจัดเชื้อเพลิง (Eliminate Fuel Supply) นำเชื้อเพลิงออกไปจากบริเวณเกิดอัคคีภัย และสำหรับกรณีขนถ่ายเอาเชื้อเพลิงออกไปไม่ได้ ควรใช้วิธีนำสารอื่นๆ มาเคลือบผิวของเชื้อเพลิงเอาไว้ เช่น การใช้ผงเคมี โฟม น้ำละลายด้วยผงซักฟอก ซึ่งเมื่อฉีดลงบนผิววัสดุแล้วจะปกคลุมอยู่นาน ตราบเท่าที่น้ำหรือสารเคมีอื่นๆ ที่ผสมในน้ำยังไม่สลายตัว
  2. การป้องกันออกซิเจนในอากาศรวมตัวกับเชื้อเพลิง (Prevent Oxygen In Air Combining With Fuel)  การป้องกันออกซิเจนในอากาศรวมตัวกับเชื้อเพลิงทำได้สองอย่าง คือ การใช้ก๊าซเฉื่อยไปลดจำนวนออกซิเจนในอากาศ หรือการใช้สิ่งที่ผนึกอากาศคลุมเชื้อเพลิงไว้ สำหรับพื้นที่ๆ มีไฟไหม้ไม่ใหญ่โตนัก การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ผงเคมีแห้ง หรือไอน้ำจะได้ผลดี โฟมเป็นตัวกั้นระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศที่ดีถ้าสามารถคลุมพื้นที่ได้ทั้งหมดโดยไม่มีช่องว่าง
  3. การลดความร้อนที่ทำให้เกิดการระเหย (Elimination Heat Causing Oil Vapouri Zation)  ความร้อนทำให้เชื้อเพลิงระเหยเป็นไอ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องลดความร้อนลง เพื่อไม่ให้เชื้อเพลิงคลายไอน้ำ เป็นตัวสำคัญที่สุดในการลดความร้อน โดยเฉพาะน้ำที่มีฝอยละเอียด จะมีประสิทธิภาพมาก ฝอยน้ำที่ฉีดลงไปบนเปลวไฟจะไปลดความร้อน นอกจากนั้นยังต้องลดความร้อนของวัสดุ และอุปกรณ์ใกล้เคียงต่าง ๆ ให้ต่ำกว่าจุดติดไฟด้วย
  4. การตัดปฏิกิริยาลูกโซ่ (Chain Reaction) เป็นวิธีการดับเพลิงแบบใหม่ได้ผลมาก โดยการใช้สารบางชนิดที่มีความไวต่อออกซิเจนมากเมื่อฉีดลง สารดังกล่าว ได้แก่ พวกไฮโดรคาร์บอนประกอบกับ ฮาโลเจน (Halogenated Hydrocarbon) ซึ่งสาร ฮาโลเจนได้แก่  ไอโอดีโบรมีนคลอรีนและฟลูออรีน สารดับเพลิงประเภทนี้เรียกว่า ฮาลอน (Halon) เป็นต้น

การฝึกใช้อุปกรณ์

วิธีการดับเพลิงด้วยถังดับเพลิง

1. เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ (Portable Fire Extinguisher) ประเภทของเครื่องดับเพลิงแบบมือถือ เครื่องดับเพลิงแบบมือถือ  ตามกฏกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕ เรียกว่า

“เครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้” แต่ถ้าเป็นชาวบ้านอย่างเราเรียกว่า”ถังดับเพลิง” ซึ่งก็มีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นประเภทของเชื้อเพลิงและสถานที่ที่จะฉีดดับเพลิง ซึ่งถังดับเพลิงที่นิยมใช้กันอยู่ตามอาคารบ้านเรือนมีดังต่อไปนี้

  • ถังดับเพลิงแบบมือถือชนิดบรรจุน้ำสะสมแรงดัน ใช้สำหรับดับเพลิงประเภท A เท่านั้น ขนาดที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ ขนาด 10 ลิตร ตัวถังทำด้วยแสตนเลส เพื่อป้องกันการเกิดสนิม ภายในถังบรรจุก๊าซไนโตรเจน หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ เพื่อให้มีความดันสะสม 100 PSI ห้ามนำถังดับเพลิงชนิดนี้ดับเพลิงประเภท C เพราะจะทำให้ผู้ใช้ถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตได้
  • ถังดับเพลิงแบบมือถือชนิดบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ เหมาะสำหรับดับเพลิงประเภท B และ C ระยะการฉีดดับเพลิง 1.5 ถึง 2 เมตร จึงจะได้ประสิทธิภาพสูงภายในบรรจุก๊าซให้มีความดัน 1,200 PSI ดังนั้น ถังต้องเป็นถังไร้ตะเข็บเท่านั้น และทำการตรวจสอบสภาพทุกๆ 6 เดือน โดยวิธีชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกข้อมูลเก็บไว้ หากน้ำหนักสูญหายไปเกินกว่า 10 % ควรทำการเติมก๊าซใหม่
  • ถังดับเพลิงแบบมือถือชนิดบรรจุน้ำยาเหลวระเหย นิยมใช้ในบริเวณที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเลคทรอนิคส์ และในบริเวณที่ต้องการความสะอาด เป็นการดับเพลิงแบบตัดปฏิกิริยาลูกโซ่โดยทำให้อับอากาศ สารดับเพลิงชนิดนี้จะระเหยตัวแทนที่อ็อกชิเจน ในขณะเดียวกันก็สามารถลดอุณหภูมิความร้อนของเชื้อเพลิงลงได้
  • ถังดับเพลิงแบบมือถือชนิดบรรจุผงเคมีแห้ง สำหรับฉีดดับเพลิงประเภท A B และ C ภายในบรรจุผงเคมีแห้ง และก๊าซไนโตรเจน ควรมีการตรวจสอบสภาพทุกๆ 6 เดือน เช่น การจับตัวของผงเคมี การรั่วไหลของก๊าซ คันบีบ การอุดตันของปลายหัวฉีด การผุกร่อนของถัง ถังดับเพลิงชนิดนี้นิยมใช้กันมากเพราะมีราคาถูก ดับเพลิงได้ทุกประเภท ข้อเสียคือผงเคมีที่ฉีดออกมาจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเพิ่ม

2. ระบบน้ำดับเพลิง ปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire pump) ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบกิจการต่างๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปั๊มน้ำดับเพลิง ไว้สำหรับปั๊มน้ำจากน้ำสำรองที่มีอยู่ เพื่อควบคุมและดับเพลิงที่เกิดขึ้นมิให้ขยายลุกลาม ซึ่งอาจเป็นปั๊มน้ำดับเพลิงที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นต้น

กำลังที่จะทำให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อระบบไฟฟ้าถูกตัดลง ปั๊มน้ำดับเพลิงตามมาตรฐาน UL จะมีอยู่หลายขนาด เช่น 500, 700 และ 1,200 GPM ความดันใช้งาน 100-120 PSI

การใช้งานควรกำหนดตารางเวลาการบำรุงรักษา และกำหนดผู้ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด เช่น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง หากระบบดับเพลิงต่อวงจรโดยอัตโนมัติ จะต้องตรวจสอบว่าหากความดันในเส้นท่อลดลงตามที่กำหนด เช่น 50 PSI แล้วปั๊มจะทำงานได้เอง โดยอัตโนมัติหรือไม่ ปริมาณน้ำสำรอง ควรต้องเตรียมน้ำสำรอง ในการควบคุมและดับเพลิงที่เกิดขึ้นอย่างน้อยตาม

กฏกระทรวง “กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. ๒๕๕๕” กำหนดให้นายจ้างจัดเตรียมน้ำสำรองไว้ใช้ในการดับเพลิง ในกรณีที่ไม่มีท่อจ่ายน้ำดับเพลิงของทางราชการในบริเวณที่สถานประกอบการตั้งอยู่หรือมีแต่ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ โดยนายจ้างต้องจัดเตรียมน้ำสำรองให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นอย่างน้อย

 

การฝึกอบรมภาคปฏิบัติดับเพลิง

 

การอบรมดับเพลิงขั้นต้น ภาคปฏิบัติตามกฎหมายมีดังนี้

  • ฝึกการดับเพลิงประเภท เอ ด้วยการใช้ถังดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ ที่สามารถใช้ดับเพลิงประเภท เอ
  • ฝึกการดับเพลิงประเภท บี ด้วยการใช้ถังดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ ที่สามารถใช้ดับเพลิงประเภท บี
  • ฝึกการดับเพลิงประเภท ซี ด้วยการใช้ถังดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ ที่สามารถใช้ดับเพลิงประเภท ซี
  • ฝึกการดับเพลิงโดยใช้สายดับเพลิง

หากใครสนใจอบรมดับเพลิงขั้นต้นสามารถติดต่อสอบถามได้เรายินดีให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดอบรมดับเพลิงขั้นต้นที่ถูกต้องพร้อมมอบส่วนลดให้กับคุณอย่างพิเศษ อีกทั้งเรายังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำในประเทศไทยมากกว่า 500 บริษัท พร้อมได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001 อีกด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

Lyricslyric logo

เว็บไซต์บทความเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานที่เต็มไปด้วยความรู้และเทคนิคที่คุณสามารถเข้าถึงและอ่านได้ฟรี!

©2023  A Media Company – All Right Reserved. Designed and Developed by Lyricslyric